SCRUM
Scrum เป็นหนึ่งใน implementation หลายๆวิธีที่อยู่ในค่าย Agile Software Development ในเมืองไทยตอนนี้กระแส Agile เริ่มมาแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หน่วยงาน หรือบริษัทต่างๆก็เริ่มประยุคต์ใช้กันมากขึ้น หรือไม่ก็มีแนวโน้มว่าอยากจะทดลองใช้ดู ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีมาก เพราะ Agile เน้นที่การทำให้ทุกฝ่ายมีความสุข
ลูกค้ามีความสุข เพราะได้เห็นผลงาน ได้เห็นความคืบหน้าชัดเจน ได้เปลี่ยน requirement บ่อยๆอย่างที่อยากได้
คนทำงานก็มีความสุข เพราะทำงานไม่หนักเกินไป มี balance ของชีวิต เห็นอนาคตชัดเจนว่าวันนี้จะทำอะไร มีอะไรให้ทำหรือเปล่า แล้วอนาคตอันใกล้มีอะไรรออยู่
Project Manager ก็มีความสุขเพราะ track งานง่าย คุยกับลูกค้าได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องมาปวดหัวกับความเอาแต่ใจของลูกค้ากับคนทำงาน ที่มักไม่ตรงกันอยู่เลย ลูกค้าอยากให้ทำแต่คนทำงานไม่อยากทำไม่เห็นจะ make sense เลย
พอใช้ Agile มันตอบโจทย์ทุกอย่าง มีความสุขกันทุกคน งานเสร็จ ทำงาน happy เงินก็ได้ project จบเร็วไม่ยืดเยื่อ
กลับมาที่เรื่อง Scrum ปกติแล้ว พอพูดถึง Agile มีแต่คนนึกถึง XP จนเดี๋ยวนี้คนทั่วไปคิดว่า Agile=XP ไปแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ XP เป็นแค่น implement หนึ่งของ Agile เมื่อก่อนหน่วยงานผมเริ่มต้นก็ใช้ XP เช่นกัน แต่ XP เองก็มีข้อเสียหลายๆข้อที่ไม่ค่อยจะเหมาะกับลักษณะงานและสังคมของความเป็นไทย ปรับไปปรับมาหลังๆมันก็เลยกลายเป็น Scrum ไปแบบไม่รู้ตัว แล้ว Scrum มันต่างจาก XP อย่างไรล่ะ?
เวลาผมถามใครๆว่าถ้าพูดถึง XP จะนึกถึงอะไรบ้าง คำตอบแรกที่ได้คือ Pair Programing ใช่หรือไม่ แล้วสิ่งต่อไปละ? Unit Test First ใช่หรือไม่? มีอะไรอีกไหมครับ? User story ไง? มีอีกไหมครับ?.............................ถึงตอนนี้จะเริ่มเงียบ เพราะเริ่มนึกไม่ออก
คุณจะตอบเหมือนคำตอบด้านบนไหมครับ? ผมเดาว่าไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะ นั่นแปลว่า XP นั้นเน้นเรื่อง Development เป็นสำคัญใช่ไหมครับ? ส่วนตัวผมคิดว่าใช่ เพราะชื่อมันบอกอยู่แล้วว่าเป็น eXtreme Programming
แล้วนั่นคือปัญหาของผมครับ XP เน้นเรื่อง development มากๆ จนอ่อนเรื่อง Project Management คือมันมีเนื้อหาหรือรูปแบบที่กว้างเกินไป ทำให้ implement ลำบาก และต้องใช่การตีความค่อนข้างมาก การ track งานเลยมีประสิทธิภาพไม่เต็มที่ จุดนี้ Scrum ช่วยได้มากครับ
Scrum คืออะไร?
Scrum เป็น development process ที่อยู่บนพื้นฐานของ Sprint ให้นึกถึงเวลาวิ่งแข่งระยะไกล เวลาวิ่งเราจะวิ่งเต็มแรงไม่ได้ใช่ไหมครับ เพราะหากวิ่งเต็มแรงเราจะเหนื่อยเสียก่อน อย่าว่าแต่จะชนะหรือเปล่าเลย อาจจะไม่ถึงเส้นชัยเสียด้วยซ้ำ วิธีการเราคือจะวิ่งแบบออมแรงไว้ก่อน แล้ว sprint เป็นช่วงๆไปตามช่วง check point ต่างๆ เช่นกันครับ Scrum ก็จะ sprint เป็นช่วงๆ ตามหลักการแล้วคือช่วงละ 2-4 สัปดาห์ โดยจะเป็นช่วงที่เราจะวิ่งกันอย่างเต็มที่เต็มขีดจำกัด หลังจบ sprint ก็จะพักบ้างสัก 3-5 วันให้เบาๆหน่อยก่อนที่จะ sprint กันต่อ (อันนี้จะผิดกับวิ่งแข่งหน่อย เพราะปกติเราจะ sprint สั้นๆ แต่ออมแรงยาวๆ แต่ scrum จะ sprint ยาวๆ แต่พักสั้นๆ 55555555)
Concept ของ Scrum
ประกอบไปด้วย 3 หัวข้อหลักคือ
1. ว่าด้วยเรื่องของทีมงาน (Role)
2. ว่าด้วยเรื่องของวิธีการทำงาน (Process)
3. ว่าด้วยเรื่องของการประเมินและติดตามงาน (Demonstration and Evaluation)
แค่ 3 หัวข้อหลักบนก็แทบจะเสริมส่วนที่ XP ขาดไปได้ครบสมบูรณ์แบบ เห็นด้วยไหมครับ
ว่าด้วยเรื่องของทีมงาน (Role)
ในทีมงานจะประกอบไปด้ย 3 Roles หลักๆได้แก่
Scrum Team คือคนทำงานจริงๆ มีประมาณ 5-9 คน แต่ละคนไม่ได้กำหนดงานตายตัว สามารถทดแทนกันได้เสมอ โดยคนในทีมงานมีหน้าที่ประเมินเวลาของ task ที่จะต้องทำ แจกจ่ายงานและ assign งานกันเอง ส่วนวิธีการทำงานไม่ได้กล่าวถึงไว้มากนัก จุดนี้ผมใช้ XP ผสมเข้าเต็มที่คือทำงานเป็น pair, การทำ unit test (แม้จะไม่เอื้อนัก) และอื่นๆตามแบบฉบับของ XP
Product Owner เป็นตัวแทนของลูกค้า ทำหน้าที่จัดการเรื่อง product backlog ทั้งคิด ทั้งรวบร่วม พร้อมทั้งต้องเป็นคนเผยแพร่ product backlog ให้ทุกคนได้รับรู้ ได้เห็นกันง่ายๆ เพื่อให้คนในทีมเห็นอนาคตว่าจะมีอะไรรออยู่ข้างหน้า คนนี้เป็นคนเขียน User Story ด้วยครับ
Scrum Master ทำหน้าที่ดูแลทีมงาน เป็นโค้ชของทีมงาน และเป็นคนรับผิดชอบคุณภาพของผลงาน จัดลำดับความสำคัญของงาน แตก task ของ user story ออกมา lead การประชุม daily scrum ตัดสินใจในเรื่องต่างๆตามความเหมาะสมไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ design หรือ architecture ของระบบ (ย้ำว่าตัดสินใจไม่ใช่คนออกแบบ คนออกแบบคือ scrum team)
ว่าด้วยเรื่องของวิธีการทำงาน (Process)
โดยเนื้อหามี 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่
Backlog เป็นรายการของ feature ที่ต้องทำ คำว่า feature นี้รวมถึง request จากลูกค้า bug fix และ specification ของตัว product โดยคนทำคือ product owner ซึ่งจะจัดลำดับ feature ตามความสำคัญ จัด list เพื่อนำเข้า sprint และจัดการกับรายละเอียดต่างๆของ feature เช่นต้องจัดทำ user story สำหรับแต่ละ feature เป็นต้น
Sprint phase คือช่วง iteration นั่นเอง โดยมีกำหนดไม่เกิน 30 วัน ซึ่งก่อนเริ่ม sprint ก็จะมีการนำ product backlog มาจัดลำดับความสำคัญเพื่อเลือกมาเป็น sprint backlog จากนั้น scrum team จะดู backlog และแตกเป็น task ย่อยๆออกมาและทำการ estimate เวลาที่ใช้ในแต่ละ task หลังจากได้เวลาและต่อรองกันระหว่างทีมงานแล้ว ก็จะได้ list ของ task และ list ของ backlog ที่จะทำภายใน sprint ขึ้นมา
Daily scrum คล้ายกับ standup meeting โดยทุกๆวัน scrum master และ scrum team จะมีการประชุมกันเพื่อจัดว่าเมื่อวานทำอะไรไปบ้าง และวันนี้จะทำอะไรบ้าง มีการถกกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่เจอเมื่อวาน และจัดการ assign task ให้กับทีมงาน
จาก 3 หัวข้อด้านบน จะเห็นว่ามันดูหลวมๆอยู่ดีไม่ใช่หรือ? จริงแล้วก็ใช่ แต่มันไม่ได้หมดแค่นั้น มันมี tool ที่นำมาช่วยเรื่องพวกนี้อยู่พอควร ไม่ว่าจะเป็น index card, planning poker , scrum checklist , Niko-niko calendars ซึ่ง tool แต่ละตัวใช้ได้ดีมีประโยชน์มากในการช่วยขับเคลื่อน process ซึ่งลองไปค้นหาข้อมูลศึกษาดูนะครับ ไว้ผมมีเวลาจะลองเขียนแต่ละตัวให้อ่านกัน
ว่าด้วยเรื่องของการประเมินและติดตามงาน (Demonstration and Evaluation)
จุดเด่นของ scrum คือเราสามารถวัดผลของการทำงานได้ และได้ดีมากๆด้วย ด้วย burn-down chart ที่เรียบง่าย และธรรมดา แต่มันทำให้เห็นสภาพของ sprint ได้อย่างชัดเจน โดยหลักการแล้วก็คือ graph ของงาน โดยแกน y เป็น จำนวน task ที่เหลือ และ แกน x เป็นวันแต่ละวันของ sprint โดยในแต่ละ dairy scrum เราจะมีการ update graph กัน เพื่อให้เห็นภาพความคืบหน้าของงาน และหลังจากจบ sprint เราก็จะเอา graph นี้แหละมาประเมินผลงานของทีมงาน โดยมาดูในแต่ละจุดว่าเหตุใดบางช่วง graph จึงเป็นแนวนอนไม่ดิ่งลงมา burn-down chart จะมีประสิทธิภาพมากเมื่อใช้คู่กับ index card เพราะจะทำให้ plot graph ได้ง่าย และรู้สถานการณ์ภายใน sprint ได้ดี
สรุป
และนี่คือทั้งหมดของ scrum ดูหลวมๆ แต่จริงๆแล้วยังมี detail อีกพอควรในแต่ละ tool ที่ใช้งาน ซึ่ง tool ต่างๆก็จะพุดขึ้นมาเรื่อยๆตาม idea ของคนในโลก อย่างเรื่องของ index card นี่ก็ไม่ได้เป็นหัวข้อหลักใน scrum แต่มีคนคิดขึ้นมาเพื่อทำให้ burn-down chart มีประสิทธิภาพมากขึ้น
หากคุณทดลองใช้ XP แล้วพบปัญหาเรื่องการ manage งานอย่างผม ลองประยุกต์ใช้ scrum เข้าไปเสริมสิครับ จะช่วยได้มากทีเดียว
reference: wikipedia, infoQ, softhouse
Scrum เป็นหนึ่งใน implementation หลายๆวิธีที่อยู่ในค่าย Agile Software Development ในเมืองไทยตอนนี้กระแส Agile เริ่มมาแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หน่วยงาน หรือบริษัทต่างๆก็เริ่มประยุคต์ใช้กันมากขึ้น หรือไม่ก็มีแนวโน้มว่าอยากจะทดลองใช้ดู ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีมาก เพราะ Agile เน้นที่การทำให้ทุกฝ่ายมีความสุข
ลูกค้ามีความสุข เพราะได้เห็นผลงาน ได้เห็นความคืบหน้าชัดเจน ได้เปลี่ยน requirement บ่อยๆอย่างที่อยากได้
คนทำงานก็มีความสุข เพราะทำงานไม่หนักเกินไป มี balance ของชีวิต เห็นอนาคตชัดเจนว่าวันนี้จะทำอะไร มีอะไรให้ทำหรือเปล่า แล้วอนาคตอันใกล้มีอะไรรออยู่
Project Manager ก็มีความสุขเพราะ track งานง่าย คุยกับลูกค้าได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องมาปวดหัวกับความเอาแต่ใจของลูกค้ากับคนทำงาน ที่มักไม่ตรงกันอยู่เลย ลูกค้าอยากให้ทำแต่คนทำงานไม่อยากทำไม่เห็นจะ make sense เลย
พอใช้ Agile มันตอบโจทย์ทุกอย่าง มีความสุขกันทุกคน งานเสร็จ ทำงาน happy เงินก็ได้ project จบเร็วไม่ยืดเยื่อ
กลับมาที่เรื่อง Scrum ปกติแล้ว พอพูดถึง Agile มีแต่คนนึกถึง XP จนเดี๋ยวนี้คนทั่วไปคิดว่า Agile=XP ไปแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ XP เป็นแค่น implement หนึ่งของ Agile เมื่อก่อนหน่วยงานผมเริ่มต้นก็ใช้ XP เช่นกัน แต่ XP เองก็มีข้อเสียหลายๆข้อที่ไม่ค่อยจะเหมาะกับลักษณะงานและสังคมของความเป็นไทย ปรับไปปรับมาหลังๆมันก็เลยกลายเป็น Scrum ไปแบบไม่รู้ตัว แล้ว Scrum มันต่างจาก XP อย่างไรล่ะ?
เวลาผมถามใครๆว่าถ้าพูดถึง XP จะนึกถึงอะไรบ้าง คำตอบแรกที่ได้คือ Pair Programing ใช่หรือไม่ แล้วสิ่งต่อไปละ? Unit Test First ใช่หรือไม่? มีอะไรอีกไหมครับ? User story ไง? มีอีกไหมครับ?.............................ถึงตอนนี้จะเริ่มเงียบ เพราะเริ่มนึกไม่ออก
คุณจะตอบเหมือนคำตอบด้านบนไหมครับ? ผมเดาว่าไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะ นั่นแปลว่า XP นั้นเน้นเรื่อง Development เป็นสำคัญใช่ไหมครับ? ส่วนตัวผมคิดว่าใช่ เพราะชื่อมันบอกอยู่แล้วว่าเป็น eXtreme Programming
แล้วนั่นคือปัญหาของผมครับ XP เน้นเรื่อง development มากๆ จนอ่อนเรื่อง Project Management คือมันมีเนื้อหาหรือรูปแบบที่กว้างเกินไป ทำให้ implement ลำบาก และต้องใช่การตีความค่อนข้างมาก การ track งานเลยมีประสิทธิภาพไม่เต็มที่ จุดนี้ Scrum ช่วยได้มากครับ
Scrum คืออะไร?
Scrum เป็น development process ที่อยู่บนพื้นฐานของ Sprint ให้นึกถึงเวลาวิ่งแข่งระยะไกล เวลาวิ่งเราจะวิ่งเต็มแรงไม่ได้ใช่ไหมครับ เพราะหากวิ่งเต็มแรงเราจะเหนื่อยเสียก่อน อย่าว่าแต่จะชนะหรือเปล่าเลย อาจจะไม่ถึงเส้นชัยเสียด้วยซ้ำ วิธีการเราคือจะวิ่งแบบออมแรงไว้ก่อน แล้ว sprint เป็นช่วงๆไปตามช่วง check point ต่างๆ เช่นกันครับ Scrum ก็จะ sprint เป็นช่วงๆ ตามหลักการแล้วคือช่วงละ 2-4 สัปดาห์ โดยจะเป็นช่วงที่เราจะวิ่งกันอย่างเต็มที่เต็มขีดจำกัด หลังจบ sprint ก็จะพักบ้างสัก 3-5 วันให้เบาๆหน่อยก่อนที่จะ sprint กันต่อ (อันนี้จะผิดกับวิ่งแข่งหน่อย เพราะปกติเราจะ sprint สั้นๆ แต่ออมแรงยาวๆ แต่ scrum จะ sprint ยาวๆ แต่พักสั้นๆ 55555555)
Concept ของ Scrum
ประกอบไปด้วย 3 หัวข้อหลักคือ
1. ว่าด้วยเรื่องของทีมงาน (Role)
2. ว่าด้วยเรื่องของวิธีการทำงาน (Process)
3. ว่าด้วยเรื่องของการประเมินและติดตามงาน (Demonstration and Evaluation)
แค่ 3 หัวข้อหลักบนก็แทบจะเสริมส่วนที่ XP ขาดไปได้ครบสมบูรณ์แบบ เห็นด้วยไหมครับ
ว่าด้วยเรื่องของทีมงาน (Role)
ในทีมงานจะประกอบไปด้ย 3 Roles หลักๆได้แก่
Scrum Team คือคนทำงานจริงๆ มีประมาณ 5-9 คน แต่ละคนไม่ได้กำหนดงานตายตัว สามารถทดแทนกันได้เสมอ โดยคนในทีมงานมีหน้าที่ประเมินเวลาของ task ที่จะต้องทำ แจกจ่ายงานและ assign งานกันเอง ส่วนวิธีการทำงานไม่ได้กล่าวถึงไว้มากนัก จุดนี้ผมใช้ XP ผสมเข้าเต็มที่คือทำงานเป็น pair, การทำ unit test (แม้จะไม่เอื้อนัก) และอื่นๆตามแบบฉบับของ XP
Product Owner เป็นตัวแทนของลูกค้า ทำหน้าที่จัดการเรื่อง product backlog ทั้งคิด ทั้งรวบร่วม พร้อมทั้งต้องเป็นคนเผยแพร่ product backlog ให้ทุกคนได้รับรู้ ได้เห็นกันง่ายๆ เพื่อให้คนในทีมเห็นอนาคตว่าจะมีอะไรรออยู่ข้างหน้า คนนี้เป็นคนเขียน User Story ด้วยครับ
Scrum Master ทำหน้าที่ดูแลทีมงาน เป็นโค้ชของทีมงาน และเป็นคนรับผิดชอบคุณภาพของผลงาน จัดลำดับความสำคัญของงาน แตก task ของ user story ออกมา lead การประชุม daily scrum ตัดสินใจในเรื่องต่างๆตามความเหมาะสมไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ design หรือ architecture ของระบบ (ย้ำว่าตัดสินใจไม่ใช่คนออกแบบ คนออกแบบคือ scrum team)
ว่าด้วยเรื่องของวิธีการทำงาน (Process)
โดยเนื้อหามี 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่
Backlog เป็นรายการของ feature ที่ต้องทำ คำว่า feature นี้รวมถึง request จากลูกค้า bug fix และ specification ของตัว product โดยคนทำคือ product owner ซึ่งจะจัดลำดับ feature ตามความสำคัญ จัด list เพื่อนำเข้า sprint และจัดการกับรายละเอียดต่างๆของ feature เช่นต้องจัดทำ user story สำหรับแต่ละ feature เป็นต้น
Sprint phase คือช่วง iteration นั่นเอง โดยมีกำหนดไม่เกิน 30 วัน ซึ่งก่อนเริ่ม sprint ก็จะมีการนำ product backlog มาจัดลำดับความสำคัญเพื่อเลือกมาเป็น sprint backlog จากนั้น scrum team จะดู backlog และแตกเป็น task ย่อยๆออกมาและทำการ estimate เวลาที่ใช้ในแต่ละ task หลังจากได้เวลาและต่อรองกันระหว่างทีมงานแล้ว ก็จะได้ list ของ task และ list ของ backlog ที่จะทำภายใน sprint ขึ้นมา
Daily scrum คล้ายกับ standup meeting โดยทุกๆวัน scrum master และ scrum team จะมีการประชุมกันเพื่อจัดว่าเมื่อวานทำอะไรไปบ้าง และวันนี้จะทำอะไรบ้าง มีการถกกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่เจอเมื่อวาน และจัดการ assign task ให้กับทีมงาน
จาก 3 หัวข้อด้านบน จะเห็นว่ามันดูหลวมๆอยู่ดีไม่ใช่หรือ? จริงแล้วก็ใช่ แต่มันไม่ได้หมดแค่นั้น มันมี tool ที่นำมาช่วยเรื่องพวกนี้อยู่พอควร ไม่ว่าจะเป็น index card, planning poker , scrum checklist , Niko-niko calendars ซึ่ง tool แต่ละตัวใช้ได้ดีมีประโยชน์มากในการช่วยขับเคลื่อน process ซึ่งลองไปค้นหาข้อมูลศึกษาดูนะครับ ไว้ผมมีเวลาจะลองเขียนแต่ละตัวให้อ่านกัน
ว่าด้วยเรื่องของการประเมินและติดตามงาน (Demonstration and Evaluation)
จุดเด่นของ scrum คือเราสามารถวัดผลของการทำงานได้ และได้ดีมากๆด้วย ด้วย burn-down chart ที่เรียบง่าย และธรรมดา แต่มันทำให้เห็นสภาพของ sprint ได้อย่างชัดเจน โดยหลักการแล้วก็คือ graph ของงาน โดยแกน y เป็น จำนวน task ที่เหลือ และ แกน x เป็นวันแต่ละวันของ sprint โดยในแต่ละ dairy scrum เราจะมีการ update graph กัน เพื่อให้เห็นภาพความคืบหน้าของงาน และหลังจากจบ sprint เราก็จะเอา graph นี้แหละมาประเมินผลงานของทีมงาน โดยมาดูในแต่ละจุดว่าเหตุใดบางช่วง graph จึงเป็นแนวนอนไม่ดิ่งลงมา burn-down chart จะมีประสิทธิภาพมากเมื่อใช้คู่กับ index card เพราะจะทำให้ plot graph ได้ง่าย และรู้สถานการณ์ภายใน sprint ได้ดี
สรุป
และนี่คือทั้งหมดของ scrum ดูหลวมๆ แต่จริงๆแล้วยังมี detail อีกพอควรในแต่ละ tool ที่ใช้งาน ซึ่ง tool ต่างๆก็จะพุดขึ้นมาเรื่อยๆตาม idea ของคนในโลก อย่างเรื่องของ index card นี่ก็ไม่ได้เป็นหัวข้อหลักใน scrum แต่มีคนคิดขึ้นมาเพื่อทำให้ burn-down chart มีประสิทธิภาพมากขึ้น
หากคุณทดลองใช้ XP แล้วพบปัญหาเรื่องการ manage งานอย่างผม ลองประยุกต์ใช้ scrum เข้าไปเสริมสิครับ จะช่วยได้มากทีเดียว
reference: wikipedia, infoQ, softhouse
ขอบคุณที่นำประสบการณ์มาแบ่งปันนะครับ -/\-
ทำให้ผมเข้าใจ Agile ขึ้นอีกระดับหนึ่งเลย ก่อนหน้านี้ผมคิดว่า scrum เป็นแค่ practice หนึ่งใน XP เสียอีก แต่พอกลับไปอ่านดู ผมถึงได้รู้ว่า ผมเข้าใจผิดแล้ว Scrum เป็น Agile process อีกอย่างหนึ่งเลย
ทำให้ผมเข้าใจ Agile ขึ้นอีกระดับหนึ่งเลย ก่อนหน้านี้ผมคิดว่า scrum เป็นแค่ practice หนึ่งใน XP เสียอีก แต่พอกลับไปอ่านดู ผมถึงได้รู้ว่า ผมเข้าใจผิดแล้ว Scrum เป็น Agile process อีกอย่างหนึ่งเลย
Quote
"At the time of this writing there were many agile processes to choose from. These
include SCRUM[1], Crystal[2], Feature Driven Development[3], Adaptive Software Development
(ADP)[4], and most significantly, Extreme Programming[5]." -- http://www.objectmen...gileProcess.pdf
-------------------------------------------------
1. www.controlchaos.com
2. crystalmethodologies.org
3. Java Modeling In Color With UML: Enterprise Components and Process, Peter Coad, Eric Lefebvre, and Jeff De Luca,
Prentice Hall, 1999
4. [Highsmith2000]
5. [BECK99], [Newkirk2001]
include SCRUM[1], Crystal[2], Feature Driven Development[3], Adaptive Software Development
(ADP)[4], and most significantly, Extreme Programming[5]." -- http://www.objectmen...gileProcess.pdf
-------------------------------------------------
1. www.controlchaos.com
2. crystalmethodologies.org
3. Java Modeling In Color With UML: Enterprise Components and Process, Peter Coad, Eric Lefebvre, and Jeff De Luca,
Prentice Hall, 1999
4. [Highsmith2000]
5. [BECK99], [Newkirk2001]
Product owner นี่หมายถึง คนในทีมเราแต่ทำตัวเหมือนเป็นลูกค้า หรือเปล่าคะ?
ชอบ idea ของ burn-down chart กับ index card มากๆ เลยค่ะ ทำให้มองเห็นภาพการทำงานได้ดี
ดูเหมือน Scrum จะเน้นการ evaluate งานมากกว่า XP นะคะ
ไม่เคยทราบการทำงานของ scrum เลย เิพิ่งอ่านจากที่คุณ bomber เขียน เป็นครั้งแรกค่ะ
ขอบคุณมากๆ นะคะืที่แชร์ให้ฟัง
ชอบ idea ของ burn-down chart กับ index card มากๆ เลยค่ะ ทำให้มองเห็นภาพการทำงานได้ดี
ดูเหมือน Scrum จะเน้นการ evaluate งานมากกว่า XP นะคะ
ไม่เคยทราบการทำงานของ scrum เลย เิพิ่งอ่านจากที่คุณ bomber เขียน เป็นครั้งแรกค่ะ
ขอบคุณมากๆ นะคะืที่แชร์ให้ฟัง
natty, on Oct 4 2007, 12:39 PM, said:
Product owner นี่หมายถึง คนในทีมเราแต่ทำตัวเหมือนเป็นลูกค้า หรือเปล่าคะ?
อืมๆ จริงๆ ทุกวันนี้แทบจะลืมคิดไปเลยว่า ทำไมไม่ทำลูกค้าสมมติขึ้นมา ในเมื่อหาตัวลูกค้าไม่ได้ (เป็นประจำ)
ขอบคุณสำหรับคำอธิบายค่ะ
ขอบคุณสำหรับคำอธิบายค่ะ
ของดีมีประโยชน์ ขอบคุณที่มาย่อยให้ฟังครับ
natty, on Oct 6 2007, 11:36 PM, said:
อืมๆ จริงๆ ทุกวันนี้แทบจะลืมคิดไปเลยว่า ทำไมไม่ทำลูกค้าสมมติขึ้นมา ในเมื่อหาตัวลูกค้าไม่ได้ (เป็นประจำ)
Pink Dragon, on Oct 10 2007, 12:11 AM, said:
natty, on Oct 6 2007, 11:36 PM, said:
อืมๆ จริงๆ ทุกวันนี้แทบจะลืมคิดไปเลยว่า ทำไมไม่ทำลูกค้าสมมติขึ้นมา ในเมื่อหาตัวลูกค้าไม่ได้ (เป็นประจำ)
ก็หมายถึงแบบเดียวกันกับคุณ Bomber ค่ะ คือว่า ตัวแทนลูกค้า จะทำให้เราสามารถคุยได้เหมือนเป็นลูกค้า ซึ่งคนๆ นี้จะเป็นคนที่ต้องไปอยู่ใกล้ชิดลูกค้าและนำทุกอย่างมาบอกกับทีม อืม อธิบายไม่ค่อยถูก แต่คิดว่า เข้าใจตรงกันกับความหมายของคุณ Bomber และ คุณ Pink Dragon นะคะ
มีอะไรจะเสริมให้เข้าใจมากขึ้นก็เชิญได้นะคะ
ในหนังสือ eXtreme Programming Installed หรือ Planning เนี่ยแหล่ะ ก็กล่าวเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับการใช้งานจริง เรื่อง Fulltime User (Customer) เป็นเรื่องสำคัญมากเรื่องนึง
ในหนังสือพูดถึงการสร้าง Pseudo User ขึ้นมา โดยจำลองคนมาซักคนหรือกลุ่ม แล้วติ๊งต่างว่าเป็น User แต่มีข้อแม้ว่า ต้องหาโอกาสให้ Pseudo User ไปเจอ Actual User ให้มากที่สุดเพื่อจะได้ปรับความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง
ปล. กลับไปผมต้องเจอสกรัมเหรอเนี่ย
ในหนังสือพูดถึงการสร้าง Pseudo User ขึ้นมา โดยจำลองคนมาซักคนหรือกลุ่ม แล้วติ๊งต่างว่าเป็น User แต่มีข้อแม้ว่า ต้องหาโอกาสให้ Pseudo User ไปเจอ Actual User ให้มากที่สุดเพื่อจะได้ปรับความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง
ปล. กลับไปผมต้องเจอสกรัมเหรอเนี่ย
ขอบคุณมากครับกำลังต้องการพอดีเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น