วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ฝึก TOEIC 14 วัน ได้ 830 คะแนน...by Sweet Cony

ฝึก TOEIC 14 วัน ได้ 830 คะแนน...by Sweet Cony

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ
ยิ้ม
 ขอเรียกตัวเองว่า Cony นะคะ เพราะแฟนบอกว่านิสัยเหมือนกันมากๆ


สืบเนื่องจากวันที่ 28/8/56 คะแนน TOEIC ส่งมาถึงที่บ้าน หลังจากที่เฝ้ารอมาหลายวัน

พอเปิดจดหมายออกมา ดีใจมากๆๆๆ กรี๊ดลั่นบ้าน ได้ 830 คะแนนค่ะ
ประหลาดใจ


ทั้งๆ ที่ตอนสอบเสร็จ คิดว่าตัวเองได้ไม่เกิน 700 ต้นๆ แน่ๆ

คะแนนเราแบ่งเป็น Listening 435 คะแนน และ Reading 395 คะแนน ตามรูปค่ะ





ก่อนสอบเราตั้งใจว่าถ้าได้คะแนนเกิน 700 จะมาตั้งกระทู้แชร์ประสบการณ์ใน Pantip

เพื่อขอบคุณที่มอบเทคนิคและข้อสอบ Toeic ดีๆ มากมายกับเรา


ก่อนเตรียมตัวสอบ TOEIC ภาษาอังกฤษโดยรวมของเราก็ระดับปานกลาง


ถ้าย้อนไปสมัยปี 2553 เราลองสอบ TU-GET ได้ 580 คะแนน

และ CU-TEP ได้ 65 คะแนน (เทียบเท่ากับ TOEIC 520 คะแนน, อ้างอิงจาก CU-TEP Score Report)

โดยคะแนนเหล่านี้ได้มาจากการอ่านเองและการลงคอร์ส TU-GET & CU-TEP ของ BB&C


และเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เราอยากสอบ TOEIC เพื่อใช้สมัครงาน

ขอบอกว่าไม่มั่นใจมากๆ เพราะไม่เคยสอบมาก่อน และค่าสอบแพงด้วย ตั้ง 1,500 บาท


ดังนั้น เราจึงหาข้อมูลจาก Pantip และ Google เพื่อให้ตนเองพร้อมกับการสอบให้มากที่สุด
แก้ไขข้อความเมื่อ 11 กันยายน 2556 เวลา 14:56 น.
ความคิดเห็นที่ 1
โดยหนังสือที่เราใช้ในการเตรียมสอบ TOEIC มีทั้งหมด 5 เล่ม คือ


1.    หนังสือ Barron’s TOEIC Practice Exams (มีข้อสอบ 6 ชุด)

>>> เล่มนี้แม้ว่าจะง่าย แต่จะสอนพื้นฐานให้เราแน่น ก่อนลองทำ Oxford


2.    ไฟล์ข้อสอบของ Oxford ที่ชื่อ Tactics for TOEIC Listening and Reading Test (มีข้อสอบ 2 ชุด)

>>> เล่มนี้ใน Pantip บอกว่าเหมือนจริงมากที่สุด ซึ่งเป็นอย่างนั้นจริงๆ **แนะนำฝุดๆ**
เยี่ยม

เยี่ยม
เยี่ยม



3.    ไฟล์ข้อสอบของ Cambridge ที่ชื่อ Target Score Second Edition Final Practice TOEIC (มีข้อสอบ 1 ชุด)

>>> เล่มนี้บาง Part ก็ง่ายกว่า Oxford แต่บาง Part ก็ยากกว่าอิ๊บอ๋าย แนะนำให้ลองทำเช่นกันค่ะ


4.    หนังสือ Longman - Preparation Series for the New Toeic Test Advanced Course 4th Edition (มีข้อสอบ 2 ชุด)

>>> เล่มนี้เราใช้ฝึกเพราะไม่มีอะไรให้ฝึกแล้ว บาง Part ก็ง่ายกว่า Oxford แต่บาง Part ก็ยากกว่า


5.    หนังสือTactics for TOEIC Listening and Reading Test by Grant Trew

>>> เล่มนี้เราฝึกเพราะไม่มีอะไรให้ฝึกแล้วเหมือนกัน ซึ่งเราว่า Mini-Test ของแต่ละ Partดีนะ คล้ายๆ เล่ม Oxford ข้างบน



หนังสือทั้ง 5 เล่มข้างบน สามารถโหลดได้จาก Pantip และ Google ลอง Search ดูนะคะ

เล่มที่ 1 – 4 โหลดได้จาก Link นี้ค่ะ ขอขอบคุณ ART จขกท. มากๆๆๆๆ ค่ะ
อมยิ้ม17


http://2g.pantip.com/cafe/library/topic/K12753976/K12753976.html



ส่วนเทคนิคการทำข้อสอบ ขอให้ Search ใน Pantip และ Google มีมากมายจริงๆ ถ้าตั้งใจหาข้อมูล รับรองได้เทคนิคดีๆ แน่นอนค่ะ
ความคิดเห็นที่ 2
ใน 14 วันที่เราเตรียมตัวก่อนสอบ (นับเฉพาะวันที่ฝึกและอ่าน TOEIC จริงๆ ) มีรายละเอียดตามนี้ค่ะ

*เราเขียนละเอียด เพราะอยากให้ทุกคนเห็นว่า ถ้าเราพยายาม ผลที่ได้ต้องออกมาดีแน่นอนค่ะ
ดอกไม้


*แนะนำว่า ควรฝึกต่อเนื่องทุกวัน หรือเท่าที่หาเวลาได้นะคะ


วันที่ 1     
ทำข้อสอบ Listening Test 1 ของ Barron’s TOEIC Practice Exams


วันที่ 2        
ทำข้อสอบ Listening Test 2 ของ Barron’s TOEIC Practice Exams
ทำข้อสอบ Listening Test 3 ของ Barron’s TOEIC Practice Exams


วันที่ 3     
ทำข้อสอบ Listening Test 1 ของ Oxford ที่ชื่อ Tactics for TOEIC Listening and Reading Test


วันที่ 4        
อ่าน Reading Test 1 – 3 ของ Barron’s TOEIC Practice Exams
*ที่ต้องอ่าน เพราะเราเคยทำข้อสอบ TOEIC เล่นๆ ลงหนังสือเมื่อปีที่แล้ว ถ้าเอามาฝึกทำก็จะเห็นคำตอบที่เขียนลงหนังสือ


วันที่ 5        
อ่าน Reading Test 4 – 6 ของ Barron’s TOEIC Practice Exams
*ที่ต้องอ่าน เพราะเราเคยทำข้อสอบ TOEIC เล่นๆ ลงหนังสือเมื่อปีที่แล้ว ถ้าเอามาฝึกทำก็จะเห็นคำตอบที่เขียนลงหนังสือ


วันที่ 6     
ทำ Reading Test 1 ของ Oxford ที่ชื่อ Tactics for TOEIC Listening and Reading Test


วันที่ 7     
ทำ Reading Test 2 ของ Oxford ที่ชื่อ Tactics for TOEIC Listening and Reading Test


วันที่ 8     
ทำ Listening Test 2 ของ Oxford ที่ชื่อ Tactics for TOEIC Listening and Reading Test


วันที่ 9     
ทำ Reading Test 1 ของ Cambridge ที่ชื่อ Target Score Second Edition Final Practice TOEIC Test


วันที่ 10        
ทำ Listening Test 1 ของ Cambridge ที่ชื่อ Target Score Second Edition Final Practice TOEIC Test


วันที่ 11        
ทำ Listening Test 1 ของ Longman - Preparation Series for the New Toeic Test Advanced Course 4th Edition


วันที่ 12        
ทำ Listening Test 2 ของ Longman - Preparation Series for the New Toeic Test Advanced Course 4th Edition


วันที่ 13     
ทำ Reading Test 1 ของ Longman - Preparation Series for the New Toeic Test Advanced Course 4th Edition


วันที่ 14        
ทำ Listening Mini-Test ทั้งหมดของ Oxford ที่ชื่อ Tactics for TOEIC Listening and Reading Test by Grant Trew
เพราะใน Pantip บอกว่าข้อสอบ Oxford เหมือนจริงที่สุดแล้ว

อ่าน Reading Test 1 กับ 2 ของ Tactics for TOEIC Listening and Reading Test


วันที่ 15     เป็นวันที่เราจะได้หลุดพ้นจากการอ่านหนังสือเสียที 5555
ไปสอบ TOEIC วันเสาร์ รอบ 13.00 น.
จุ๊บๆ
ความคิดเห็นที่ 3
การฝึกทำข้อสอบทุกครั้ง เราจะ Print ข้อสอบและ Answer Sheet ออกมาเป็นกระดาษ

พร้อมจับเวลาในการทำ เพื่อให้ตนเองคุ้นเคยกับการสอบมากที่สุด


Listening

เมื่อทำเสร็จแล้วก็จะตรวจคำตอบ และฟังโดยดู Audioscript อีก 1 รอบ พร้อมอ่านเฉลยข้อที่ผิด

เพื่อให้รู้ว่าเราผิดเพราะอะไร ฟังพลาดตรงไหน


Reading

จับเวลา 75 นาที เมื่อทำเสร็จก็จะตรวจคำตอบ และอ่านเฉลยทุกข้อ แม้ข้อที่ถูก

เพื่อให้เข้าใจ Grammar และการตีความเนื้อเรื่องมากขึ้น


ขนาดว่าเราฝึกทำข้อสอบจับเวลาเยอะมาก และตอนฝึกทำ Reading ที่บ้านจะเหลือเวลาประมาณ 10 – 12 นาที เสมอ

แต่พอวันสอบจริง ทั้งๆ ที่ข้อสอบง่ายกว่าที่ฝึกเยอะ แต่สมาธิแตกซ่าน ทำให้แทบไม่เหลือเวลาทวนคำตอบเลย


สรุปแล้ว เราไม่ได้เก่งมากมาย แต่ที่ได้คะแนนเยอะเกินความคาดหมาย



เป็นเพราะความพยายามและความอดทนในการฝึกทำข้อสอบนั่นเองค่ะ

Cony ขอให้ทุกคนที่ตั้งใจจะสอบ TOEIC สู้ๆ นะคะ ถ้าเราตั้งใจจริงๆ แล้ว ยังไงผลมันต้องออกมาดีแน่นอนค่ะ
ความคิดเห็นที่ 36
พอดีช่วงหลังๆ เราไม่ได้เล่น Pantip เยอะเหมือนสมัยก่อน

วันนี้ช่วงหัวค่ำ น้องสาวมาถามว่า Sweet Cony นี่มันของพี่หญิงใช่มั้ย มีคนแชร์เต็มเฟสเลย
ก็เลยได้มีโอกาสเข้ามาดูกระทู้และหลังไมค์ ดีใจมากๆ ที่กระทู้นี้เป็นประโยชน์กับหลายๆ คนนะคะ

แต่หลังสอบเราไปมุ่งเน้นทำขนมเค้ก เลยไม่ค่อยได้ใช้ภาษาอังกฤษเท่าไหร่ สนิมเลยเริ่มเกาะ 555 ตอนนี้เลยจะกลับมาฟิตภาษาอังกฤษอีกรอบค่ะ

มีหลังไมค์มาบอกว่า Link ไฟล์ข้อสอบที่เราเคย Post ไว้ เสียไปแล้ว

ตอนนี้เรายังเก็บไฟล์ข้อสอบไว้อยู่ ถ้าใครอยากได้ไฟล์ก็ส่งแผ่น DVD เปล่า พร้อมซองจดหมายติดแสตมป์ จ่าหน้าซองถึงตัวเอง แล้วส่งมาให้เรา เดี๋ยวเราจะไรท์ส่งกลับให้ค่ะ

* ไม่แน่ใจว่าต้องติดแสตมป์ราคากี่บาท สำหรับส่ง DVD กลับนะคะ

* ใครสนใจ ขอที่อยู่เราได้ทางหลังไมค์นะคะ

* ซองจดหมายควรเป็นซองที่มีกันกระแทกนะคะ ไม่งั้น DVD มีโอกาสแตกหักได้ค่ะ
ยิ้ม
)

* เราก็เคยได้รับไฟล์ข้อสอบส่วนนึงจากรุ่นพี่สมัยเรียนเหมือนกัน พี่เค้ารีบส่งไฟล์ให้เราทางไปรษณีย์หลังจากที่เราเอ่ยขอแค่ 2 วัน ขอบคุณพี่เป้อีกครั้งนะคะ ^^

* จริงๆชื่อ หญิง ค่ะ แต่แฟนชอบเรียกว่า Cony เลยชอบเรียกตัวเองว่า Cony ตาม
หัวใจ


แก้ไขข้อความเมื่อ 20 กรกฎาคม เวลา 21:17 น.

Java Decompiler

http://jd.benow.ca/

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เหตุผลที่จัดฮาโลวีนวันที่ 31 ตุลาคม

เหตุผลที่จัดฮาโลวีนวันที่ 31 ตุลาคม

วันฮาโลวีน (Halloween) เป็นความเชื่อของชาวเซ็ลต์ (Celt) เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองในประเทศอังกฤษ โดยเชื่อว่าทุกวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี จะเป็นวันที่ประตูนรก (โดยเชื่อกันว่าจะถูกเปิดขึ้นมาใน 6 โมงเย็น 6 นาที 6 วินาที ซึ่งถึงแม้จะเป็นแค่วินาทีเดียวแต่ประตูนรกจะใหญ่เท่ากับ 1 เมือง) บรรจบกับมิติโลกมนุษย์กันอย่างพอดี ทำให้เหล่าวิญญาณพยายามหาทางเข้าสิงมนุษย์ ซึ่งวิธีการแก้ไขเพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณเข้าสิงคือ "การปลอมตัว" ทำตัวเป็นผีเสียเอง ด้วยการตกแต่งต่างๆ นานาให้ดูน่ากลัวที่สุด จึงทำให้คนจะต้องหาทางแก้ไขด้วยการปิดไฟในบ้านทุกดวง ให้บ้านมืดมิด ร่วมกับอากาศที่หนาวซึ่งไม่เป็นที่ปรารถนาของบรรดาผีร้าย อีกทั้งยังมีบางส่วนจะแต่งตัวเป็นผีต่างๆ เพื่อกลบเกลือนวิญญาณว่าไม่ใช่คนเป็นนั้นเอง

เดิมเทศกาลฮาโลวีนจัดขึ้นในประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์ สกอตแลนด์ และประเทศข้างเคียงเท่านั้นแต่เมื่อชาวไอริช และชาวสกอตอพยพไปตั้งหลักแหล่งในสหรัฐอเมริกา ในช่วงทศวรรษที่ 1840 ก็นำเอาประเพณีนี้ไปปฏิบัติด้วย ปรากฏว่าถูกใจชาวอเมริกันทุกเชื้อชาติ จึงปฏิบัติตามกันอย่างจริงจังตลอดมา และตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ก็กลายเป็นเทศกาลประจำชาติมาจนทุกวันนี้

เทศกาลฮาโลวีนเด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง มีการประดับประดาแสงไฟ และที่สำคัญคือแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ เรียกว่า แจ๊ก-โอ'-แลนเทิร์น (jack-o'-lantern)

ตำนานเกี่ยวกับฟักทอง

เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ที่กล่าวถึง แจ๊ค นักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ 'ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก' แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุมแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น (ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง 'การหยุดยั้งความชั่ว') แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน

แอดมินพระจันทร์
ขอบคุณที่มา: wikipedia.org

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

[infographic] สมาร์ทโฟนเปลี่ยนโลกธุรกิจภัตราคารไปอย่างไรบ้างนะ | Marketing Oops!


INFOGRAPHIC

Oct 28, 2014 Ξ Leave a comment

[infographic] สมาร์ทโฟนเปลี่ยนโลกธุรกิจภัตราคารไปอย่างไรบ้างนะ

posted by Marketing Oops!  529 views
Like
88
This page has been shared 7 times. View these Tweets.
1
21
infographic-restaurants
สำหรับหลายบริษัท การบริหารธุรกิจผ่านออนไลน์เป็นความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ ที่น่าสนใจ แต่สำหรับธุรกิจภัตราคารแล้วลูกค้าที่มาพร้อมกับสมาร์ทโฟนนั้นเป็นตัวการสร้างความเจ็บช้ำมานักต่อนักแล้ว(?) ภัตราคารในมหานครนิวยอร์กสร้าง infographic เปรียบเทียบว่าลูกค้าของพวกเขาในปี 2004 ที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟนกับปี 2014 ปัจจุบันนั้นมีความเปลี่ยนแปลง แตกต่างกันอย่างไร ไปดู infographic ขำๆ อันนี้กันเลยดีกว่าครับ

infographic-restaurants

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

กว่าจะมาเป็นแอพฯมือถือดีๆสักตัว ทีมต้องประกอบด้วยคนที่มีสกิลดังต่อไปนี้ ...

กว่าจะมาเป็นแอพฯมือถือดีๆสักตัว ทีมต้องประกอบด้วยคนที่มีสกิลดังต่อไปนี้ ...
26 Oct 2014 20:05
ตลาดแอพฯมือถือบูมจนเริ่มซาและทรงตัว แอพฯมือถือตอนนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ใครมีแล้วเจ๋งอีกต่อไป แต่กลายเป็นว่าใครไม่มีต่างหากที่เสียเปรียบคนอื่นเค้า
คือความต้องการจะทำแอพฯยังมีอยู่อีก โดยเฉพาะแอพฯขององค์กร แต่ปัญหาใหญ่สุดๆตอนนี้คือ แอพฯที่ออกมามี % น้อยมากที่มีคุณภาพ (โดยเฉพาะแอพฯที่โฟกัสแค่ในประเทศ ไม่ใช่ทั่วโลก)
เอาจริงๆ ตอนนี้องค์กรต่างๆก็ยังขาดแอพฯดีๆอีกจำนวนมาก แอพฯที่มีออกมาแล้วเกินครึ่งเหมือนมีเพื่อให้มีเท่านั้น จำนวนมากเลยที่เตรียมตัวรื้อทิ้งทำใหม่ รวมถึง Startup ต่างๆก็ยังทำแอพฯออกมาได้ไม่ดี แม้แต่แอพฯตัวใหม่ที่ทำออกมาในปี 2014 นี้ก็ตาม
ทั้งนี้เพราะมีคนน้อยมากที่เข้าใจความละเอียดอ่อนในการทำแอพฯ คนส่วนใหญ่มักจะมองว่ามีแค่ Developer ก็น่าจะทำแอพฯได้แล้ว มันจริงอยู่ที่ "ทำออกมาได้" แต่ปัญหาคือ "มันไม่ดี" งะ มีแอพฯให้กดให้จิ้มเล่นก็จริง แต่มันไม่ดีพอจะให้ใครอยากใช้
และแน่นอน ทำแอพฯมาตัวนึงถ้าจะให้ครอบคลุม จะต้องมีพวกฝ่าย Marketing ฝ่าย PR บลาๆๆๆมาด้วย แต่เราจะไม่พูดถึงเรื่องนั้น เราจะขอโฟกัสไปที่ "กลุ่มพัฒนา" ก่อนนะ
กลุ่มพัฒนาที่จะทำแอพฯดีๆขึ้นมาสักตัวได้ ต้องประกอบด้วยทีมดังต่อไปนี้

กลุ่มพัฒนา
1) Information Architecture (IA)


"ทำยังไงให้ข้อมูลแบ่งเป็นสัดส่วนเข้าใจง่าย"

แอพฯมือถือส่วนใหญ่ที่ทำก็เพื่อเป็นหน้ากาก Deliver Content ที่มีอยู่ในมือเข้าสู่มือถือตรงสู่ผู้ใช้
และ Content ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ก็จำเป็นต้องมีการแบ่งแยกหมวดหมู่และจัดลำดับ (Classification and Hierarchy) เพื่อให้สัมพัทธ์กับรูปแบบการแบ่งแยกประเภทข้อมูลของสมองคน
คนกลุ่มนี้มีหน้าที่นี้เอง ที่จะเอาข้อมูลที่มีมากมายมหาศาล ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่ามันเข้าถึงง่าย แบ่งว่าอะไรสำคัญที่สุด อะไรอยู่ชั้นไหน ต้องเข้าไปกี่ชั้นถึงจะเห็น
อย่างไรก็ตาม สกิลนี้อาจจะไม่จำเป็นแบบต้องจ้างจริงจังมากถ้า Content มีไม่เยอะ แต่ถ้า Content มีเยอะ ... เช่น Sanook, Kapook หรือเว็บข่าวทั้งหลาย หา IA มาด้วยยยย

2) User Experience (UX) Design


"จะทำยังไงให้แอพฯใช้งานง่าย"

แอพฯมือถือถูกพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ก่อนแค่มีให้โหลด คนก็โหลดละ แต่เดี๋ยวนี้ "ความน่าใช้" ถูกยกความสำคัญขึ้นมาเป็นอย่างมาก ชนิดที่ว่าถ้าไม่น่าใช้ก็เตรียมเจ๊งได้เพราะคนมีตัวเลือกเยอะ ถ้าใช้ยากก็ลบทิ้งหาแอพฯใหม่ง่ายกว่า หรือถ้าผูกขาด เช่นแอพฯโรงหนัง แต่ทำ UX มาไม่ดี คนใช้ไม่เป็น ก็เตรียมรับ 1 ดาวไป ไม่ส่งผลดี


คู่มือการใช้งานที่ดีที่สุดคือไม่ต้องมีคู่มือ

UX เป็นศาสตร์ที่ได้ยินกันมากขึ้นอย่างหนาหู หน้าที่หลักๆเลยคือจะทำยังไงให้รู้สึกน่าใช้ รู้สึกใช้ง่าย ผู้ใช้ไม่ต้องเรียนรู้ก็ใช้เป็นเลย รู้ว่านิสัยของผู้ใช้แต่ละ OS ต่างกันยังไง บน Mobile จะปุ่มยังไง บน Tablet จะวางยังไง ปุ่มขนาดเท่าไหร่ ถ้าถามว่า Hamburger Icon ด้านล่างนี้ เหมาะหรือไม่เหมาะยังไง ต้องตอบได้
ในการทำแอพฯมือถือขึ้นมา UX จะเป็นคนเริ่มต้น Research ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้อง หา Reference ของแอพฯประเภทเดียวกัน ขึ้นโครง (Wireframe) ทุกอย่างขึ้นมา รวมถึงกำหนดว่าหน้าตาโดยรวมจะเป็นยังไง Transition วึบวับทางไหน จะเป็นหน้าที่ของ UX แล้วค่อยส่งต่อให้ UI จะลง Detail ทำให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
พูดเลยว่าในไทย คนทำ UX เป็นอย่างถ่องแท้มีน้อยมาก นาทีนี้ที่บอกว่า Developer ขาดแคลน ขอบอกว่า UX นี่เรียกว่า Rare Item เลย ทั้งนี้เพราะ UX เป็นศาสตร์ที่กึ่งวิทยาศาสตร์ กึ่งศิลป์ กึ่งรสนิยม กึ่งจิตวิทยา กึ่ง Creative มีศาสตร์หลายด้านมาผสมกัน บ้างก็ฝึกฝนได้ บ้างก็เป็นพรสวรรค์ บางทีต้องไปศึกษาเรื่องโปรแกรมมิ่งอีก นี่คือสาเหตุที่ UX Design จึงหายาก เพราะเหมือนเป็นคนที่สมองสมดุลทั้งสองข้าง ทำได้ทั้งศาสตร์และศิลป์นั่นเอง
UX ไม่ได้จบแค่กำหนด Visual Design แต่ยังต้องทำการติดตาม Validate ผลด้วย เช่น A/B Testing เพื่อพัฒนา UX ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น UX จะไม่ได้แค่คุยกับ Designer อย่างเดียว แต่ต้องคุยกับโปรแกรมเมอร์ด้วยว่าจะต้องเก็บข้อมูลตรงไหนเพื่อเอามา Validate ภายหลังด้วย
นาทีนี้ที่พอเห็น UX ทั่วไปคือพวกที่ศึกษาตาม Guideline ตามหลักการมา จริงๆก็พอแล้วสำหรับทำแอพฯให้ดีได้ เพียงแต่อาจจะไม่มีอะไรใหม่หรือ Creative ขึ้นมาเท่านั้นเอง
UX Designer ถือว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญมาก หากจะทำแอพฯดีๆขึ้นมาสักตัว หา UX ไว้ด้วยครับ ไม่งั้นเตรียมรื้อแอพฯทั้งทำใหม่ n รอบได้เลย

3) User Interface (UI) Design


"จะทำยังไงให้แอพฯสวย"

ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ความสวยของแอพฯไปสะท้อนรสนิยมของผู้ใช้ จนตอนนี้กลายเป็นว่า แอพฯไม่สวยคนไม่โหลด ยังไม่พอ ถ้าโหลดมาแล้วเปิดมาเห็นว่าไม่สวย คนลบทิ้งเลย จะเห็นว่าแอบสำคัญมากเพราะมันตัดสินตั้งแต่โหลดไม่โหลดและเริ่มใช้เลยทีเดียว ไม่ทันได้ขายอ่ะ ปิดการขายได้เลย (ปิดด้วยการขายไม่ออก)
ความจริง Designer สำคัญมากมานานแล้ว เพียงแต่ว่าแต่ก่อนคนไม่ค่อยให้ความสำคัญ สนใจเชิง Functional กันเยอะจัด แล้วก็ออกแบบตาม Design Guideline ของ OS ทำให้หน้าตาเหมือนกันทุกแอพฯ สุดท้ายแอพฯก็อยู่ในระดับ Average เท่านั้น ... หรือพูดอีกอย่างคือไม่โดดเด่น
ความสำคัญของ Design จึงเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆเพื่อสร้างความแตกต่าง หน้าตาไม่ดาดดื่น เปิดมาแล้วรู้สึกหื่นกระหายอยากใช้อยากกดอยากจิ้ม ทำไมมันสวยงี้ ทำไมมันนุ่มงี้ ทำไมมันโอ้วจอร์จอย่างนี้!
นาทีนี้โลกพลิกแล้ว Functional กับ Design เป็นสิ่งสำคัญเท่ากัน ถ้า Design สวย คนจะเปิดใจ อยากลองใช้ อยากลองจิ้ม แต่ถ้าพบว่า Functional ไม่ได้ ก็ลบทิ้งอยู่ดี ดังนั้นต้องใส่ใจทั้งคู่ครับ อันนึงไว้ดึงดูด ส่วนอีกอันไว้ดึงรั้ง =)
เมืองไทยเป็นประเทศที่มี Designer เยอะ และเก่งสาดดดดดดด้วยนะ ขอชมเลย แต่พอจะหา Designer ที่ทำงานระดับอินเตอร์และมีรสนิยมแบบ Mass เข้าใจเรื่องมือถืออย่างถ่องแท้นี่มีน้อยมาก (แต่ก็ยังมีเยอะกว่า UX หลายเท่าตัว)
อย่างไรก็ตาม Designer จะมีเอกลักษณ์การลง Detail ที่ค่อนข้างเหมือนเดิม พอเวลาผ่านไปหน้าตาก็จะเดิมๆ อาจจะต้องลองหา Designer ไว้หลายๆคนเพื่อความหลากหลายของผลงาน (ถ้าทำหลายแอพฯ)
และ ... ถ้าเจอ Designer ดีๆ อย่าปล่อยให้หลุดมือเชียว หาที่ Skillful ยากจริงๆครับ
งบการจ้าง Designer ก็ค่อนข้างสูงอยู่นะ แต่ถ้าผลงานดี จ้างเถอะครับ คุ้ม
UI Designer กับ UX Designer ไม่จำเป็นต้องเป็นคนคนเดียวกัน แต่ก็สามารถเป็นคนเดียวกันได้เช่นกัน ถ้าสกิลได้ครับ

4) Developer


"จะทำยังไงให้แอพฯออกมาใช้งานได้ดี"

เอาหละ มาถึงขั้นตอนการลงโค้ดละ หลังจากข้อมูลผ่าน IA ขึ้นโครงด้วย UX ก็ถึงคราวเคราะห์ของ Developer ละ
อ๊ะ ... ทำไมไม่พูดถึง UI? ... ก็เพราะถ้าเรามั่นใจในทีมมาก ถ้าถึงขั้น UX Validate ผ่านแล้ว ก็ลุยทำได้เลยครับ ระหว่างที่เรา UI นั่งออกแบบอยู่ เราก็นั่งเริ่ม Dev ได้เลย พอ UI ออกแบบเสร็จค่อยเอามาตัดแปะอีกที อย่า Waterfall มันเสร็จไม่ทันกิน
หน้าที่หลักๆของ Developer คือการลงโค้ด เปลี่ยนสิ่งที่ออกแบบให้เกิดขึ้นจริงได้ และ "มีประสิทธิภาพ" และ ในเวลาที่กำหนด
ย้ำว่าต้องมีประสิทธิภาพด้วย เพราะคนจะทำให้มันใช้งานได้มีเยอะมาก แต่ที่จะทำให้มันได้ดีอ่ะมีน้อยมาก
สิ่งที่ Developer ต้องรู้และเข้าใจและทำตามสำหรับเราก็มีไม่เยอะ ประมาณนี้
1) แอพฯต้องไม่ Crash
2) ถ้าแอพฯ Crash เป็นหน้าที่ของ Developer ที่ต้อง Track ได้
3) เข้าใจ Multi Thread และ Don't Make Me Wait Rule ของ UX
4) Balance เป็นระหว่างประสิทธิภาพและเวลาที่ใช้ Dev
5) แอพฯต้องไม่ Crash
เมืองไทยหา iOS Developer ง่ายครับ แต่ Android Developer มีเยอะครับ แต่ ... ที่ทำได้จริงมีน้อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกครับ
วิกฤติขาดแคลน Developer ก็ทำให้ตอนนี้แย่งตัวกันให้ควั่กเลย
แต่ให้เงินเดือน 30,000 ...
จึงเป็นวิกฤติต่อไป
และเนื่องจาก Developer หาได้ยากและโดนคนจ้างกดเงินแล้วกดเงินอีก Developer จำนวนมากก็เลยหันไปพึ่งพิง Hybrid เช่น PhoneGap ซึ่งง่ายกว่ามาก แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ ผลก็เป็นลูกโซ่ตามกันมาเพราะแอพฯออกมาใช้งานได้ไม่ดี แล้วก็ทำใหม่ ...
หากคุณจะเป็นคนจ้างทำแอพฯสักตัว ถ้าอยากได้ดีๆและใช้นานๆ ... อยากให้พิถีพิถันเลือก Developer ที่ทำ Native นะครับ อะไรๆมันต่างกันเยอะมาก
และหากคุณเป็น Mobile Developer อย่าพึ่ง Hybrid มาก จงลงมา Native โอมมมม จงลงมา จงลง ...

5) คนคอยห้ามปราม Developer


"จะทำยังไงให้ Developer Launch ตรงเวลา"

เออ Developer ชอบทำงานเสร็จแล้วรู้สึกยังไม่ดีพอ จะทำใหม่ทำใหม่ หาคนคุมด้วย ... นะ ! 555

6) คนเขียน Test Case


จะทำยังไงให้แอพฯเป็นไปตามที่ออกแบบ

จริงๆก็แล้วแต่รสนิยม Flow การทำแอพฯ แต่ส่วนตัวแล้ว Test Case ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก
ควรเขียน Test Case ให้ครบถ้วน เพื่อให้ทำงานตรงตามต้องการทุกฟังก์ชั่นและเพื่อไม่ให้เกิด Error ที่ไม่ควร
ยกตัวอย่างเช่น Input Validation หน้า Login ถ้าไม่กรอก Username ก็ควรไม่ให้ผ่าน บลาๆๆๆ
เรื่องพวกนี้เนี่ย พูดแทนโปรแกรมเมอร์เลยว่าตอนทำงานก็สมองวุ่นวายพอแล้ว จะให้นั่งคิด Test Case เองด้วยยังไงก็ไม่ครบหรอก ควรจะให้คนสมองโล่งๆ เห็นภาพรวมของแอพฯ เป็นคนเขียน Test Case ขึ้นมา แล้วส่งให้โปรแกรมเมอร์ไปทำ
กระบวนการ TDD จะช่วยให้ทุกอย่างเป็นไปตามคาดหวังและไม่ต้องมานั่งรื้อใหม่ตอนหลัง

7) Tester หัตถเทวะ


จะทำยังไงให้มั่นใจได้ว่าแอพฯไม่พัง

Tester ตรงนี้รวมทั้งตาม Test Case และจาก User ทั่วไปด้วย พยายามหาพวกหัตถเทวะ จับห่าอะไรก็พังหมด พวกนั้นอ่ะเอามานั่งจิ้มแอพฯซะ Crash เมื่อไหร่ก็แก้ให้เรียบร้อย
และจำไว้อย่างนึงว่า กระบวนการ Test ไม่ใช่ทำหลังจาก Dev เสร็จ แต่ต้อง Dev ไปเทสต์ไป ไม่งั้นจะเกิดปัญหาระยะยาวได้ กว่าจะแก้หมดก็เสียทั้งเวลาและเงินตรา

กลุ่มชักใย
ส่วนที่นอกเหนือจากกลุ่มพัฒนา แต่ก็เกี่ยวข้องกับความสำเร็จของแอพฯด้วย จะขอพูดสั้นๆละกัน มีดังต่อไปนี้
1) Visioned Project Owner
Project Manager ที่เข้าใจว่าแอพฯมือถือเค้าทำอะไรกัน ผู้ใช้เป็นใคร
มีเยอะมากที่อยากยัดทุกอย่างไว้ในแอพฯ ... นั่นแหละ ต้นเหตุให้แอพฯไม่สำเร็จเลยหละ
หาก Project Owner ยังไม่เข้าใจ ถึงจะได้ทีมพัฒนาที่เจ๋ง มีประสิทธิภาพ ก็ไม่ช่วยอะไร
และสิ่งที่ผมว่าสำคัญสำหรับ Characteristic ของ Project Owner คือ
(1) ต้องไม่ Conserative - ถ้าเจอคนกลุ่มหัวโบราณ ไม่เข้าใจและไม่ยอมรับอะไร ก็ยากที่จะทำให้แอพฯออกมาเข้าใจโลกยุคใหม่ได้ เปลี่ยน Project Owner ที่เข้าใจก็ดีครับ
(2) ต้องไม่ Geek - ที่เจอมา Project Owner ที่เป็น Geek จะสนใจ Functional มากเกินไป แต่ไม่ค่อยเข้าใจลูกค้า หา Project Owner ที่ไปคุยกับลูกค้าเยอะๆครับ จะได้แอพฯที่ดีออกมา
อย่างไรก็ตาม จะ Geek หรือ Conservative ก็ได้ ถ้าเชื่อว่าตัวเองทำได้

2) App Store Manager
App Store เป็นแหล่งกระจายแอพฯที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ไม่ใช่ว่าอัพโหลดแอพฯขึ้นไปแล้วจบ กระดิกเท้ารอเดี๋ยวก็ได้ล้านโหลด ไม่จริง !!
หากโฟกัสที่ App Store อย่างเดียว มีศาสตร์และศิลป์ที่ต้องใช้ในการ Manage App Store ด้วย เช่น
1) เป็นคนคุมระยะเวลาการอัพเดตแอพฯ - แอพฯที่ไม่ยอมอัพเดตคือแอพฯที่มีโอกาสตายสูง แก้บรรทัดเดียวแล้วอัพเดตก็ยังดี
2) เป็นคนที่รู้ว่า App Store แต่ละที่มี Algorithm การขึ้น High Ranking ได้ยังไง - Step การโปรโมทแอพฯ ต้องโปรโมทภายในกี่วัน ยอดโหลดเท่าไหร่ถึงจะขึ้นอันดับ 1
3) ทำ App Store Optimization (ASO) เป็น - จะทำยังไงให้คนหาแอพฯเจอแบบ Organic และในบรรดาแอพฯแบบเดียวกัน ทำไมเค้าต้องโหลดแอพฯเรา
4) รู้วิธีการเขียน Description - รู้ว่าในแต่ละ Store มีคนอ่าน Description กี่บรรทัด บรรทัดแรกๆควรจะเขียนอะไร What's New ควรเขียนอะไร การใส่มั่วๆเละๆ ไม่ส่งผลดีใดๆเลย และ ... อย่าให้โปรแกรมเมอร์เขียน ไม่งั้นจะได้ลิสต์ของฟังก์ชั่นไว้ใน Description ...
5) รู้แนวทางการทำ Screenshots - Screenshot สวยๆ ส่งผลมากต่อการโหลดของผู้คน เป็นเรื่องละเอียดอ่อนอีกเรื่อง แอพฯเราใหญ่โต แต่สามารถเลือก Screenshot ลงได้แค่ไม่กี่หน้า จะเลือกหน้าไหน? อันไหนขึ้นอันแรก? ยังไม่พอ แอพฯบางจำพวก(เช่นเกม) ไม่ใช่แค่ Capture จอแล้วจบ แต่ยังมีการแต่งให้ดูน่าโหลดยิ่งขึ้น เพราะบางทีคนไม่อ่าน Description ก็ได้เห็นรายละเอียดการใช้งานบน SS แทน
อย่างไรก็ตาม การทำ Online/Offline Marketing ก็เป็นส่วนสำคัญเหมือนกัน แต่ User Acquisition Cost (UAC) ต่างกันแน่นอน

3) App Store Designer
อย่างที่บอกด้านบนว่า Screenshots นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ควรหา Designer ที่เข้าใจการทำ Screenshots ที่เหมาะสมด้วย

4) Marketing
App Store ก็เหมือนร้านค้า การจะเรียกให้คนเข้าร้านก็อาจจะขึ้นโฆษณาบนรถไฟฟ้าก็ได้ ถือเป็นการลงทุนกับ Growth แบบหนึ่ง อันนี้แล้วแต่ศรัทธาและกำลังเงินของแต่ละบริษัท
อย่างไรก็ตามจำไว้อย่างนึงว่า


Marketing เป็นเหมือนการป่าวประกาศ หากผลงานดีคือการเรียกคนเข้ามาชม หากผลงานไม่ดีก็คือการเรียกคนเข้ามาร่วมด่า

ทำ Marketing เมื่อพร้อมนะจ๊ะ

จะเห็นว่ากว่าจะมาเป็นแอพฯมือถือดีๆที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ง่ายเลย ไม่ใช่แค่ทำๆก็จบ มันจบก็จริง แต่จบเห่นะ
ดังนั้น ... คงจะพอเข้าใจกันแล้วว่าต้นทุนการทำแอพฯแต่ละตัวมันไม่ใช่น้อยนะๆ ไม่แปลกใจที่แอพฯในไทยเกิน 80% เป็นแอพฯที่ไม่ดี ก็เพราะไม่ยอมลงทุนนั่นเอง ถ้าจะทำแอพฯดีๆ เตรียมเงินไว้ขั้นต่ำหลักแสนครับ แต่ถ้ามีงบไม่ถึงก็ตามยถากรรมแหละ จริงๆนะ
หรือถ้าจะฟอร์มทีมทำแอพฯของตัวเอง ให้ชัวร์นะว่ามีครบทุกสกิล สำคัญหมดครับป๋ม ^^
จบจ๊ะ ... ไม่ค่อยมีรูปนะบล็อกนี้ ToT
This page has been shared 41 times. View these Tweets.



36


Like
980 people like this. Be the first of your friends.